เหยี่ยวนกเขาหงอน ( Crested Goshawk ) มีชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า Accipiter trivirgatus ชื่อชนิดมาจากรากศัพท์ภาษาละติน คือ tri แปลว่า สาม และ virgatus แปลว่า ท่อน ความหมายคือ " เหยี่ยวที่มีลายเป็นท่อนสามแถว " พบและจำแนกชนิดได้ครั้งแรก ที่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ทั่วโลกมี 10 ชนิดย่อย ประเทศไทยพบ 1 ชนิดย่อย คือ Accipiter trivirgatus indicus ชื่อชนิดย่อย ดัดแปลงมาจากสถานที่ที่พบและจำแนกชนิดได้ครั้งแรก คือ ประเทศอินเดียรูปร่างลักษณะ เป็นนกขนาดเล็ก - กลางจนถึงขนาดกลาง ความยาวจากปลายปากจดหาง 40 - 46 ซม. เป็นเหยี่ยวชนิดเดียวในสกุลเหยี่ยวนกเขา ( Accipiter ) ที่มีหงอนขน ซึ่งหากดูในธรรมชาติ จะเห็นไม่ชัดนัก , ปากสีดำ , ม่านตาสีเหลือง , หนังจมูกสีเหลือง , ขาและนิ้วสีเหลือง , เล็บสีดำ
นกที่เต็มวัย ลำตัวด้านบนสีน้ำตาลเข้ม , ตา สีเหลือง , ใต้คอสีขาว มีลายขีดเป็นแนวตั้งสีน้ำตาลเข้ม , อกสีน้ำตาลอ่อน มีลายขีดขนาดใหญ่กระจาย ทั่วไป เด่นชัด , ท้องสีขาว มีแถบคาดสีน้ำตาล , หาง สีน้ำตาลมีลายขีดสีเข้มเกือบดำทั้งด้านบนและด้านล่าง นกทั้งสองเพศสีสันคล้ายกัน แต่
นกตัวผู้ หัวและหงอนขนสั้น สีออกดำ , กระหม่อมและทางด้านข้างของหัวสีเทา , ลำตัวด้านบนสีออกน้ำตาลปนเทา , อกมีลายขีดสีเข้มตามแนวตั้ง , ท้องมีลายขีด เป็นบริเวณแคบๆ , ด้านข้างอกสีส้มอมแดง ปนน้ำตาลแดง , ตรงกลางอกมีขีดลงมาตามยาวของลำตัว แต่ ท้องมีลายขีดเป็นเส้นหนา ถี่ๆ สีส้มอมแดง ปน สีน้ำตาลแดงตามแนวขวางลำตัว , ขนหางด้านบนสีออกเทา มีลายแถบสีค่อนข้างดำ 3 แถบ คั่นสลับด้วยแถบสีจางกว่า , ตา สีเหลือง จนถึง สีส้มอมเหลือง , ขาค่อนข้างสั้น แต่อวบหนา , เมื่อเกาะหุบปีก ปลายปีกยาวเสมอโคนหาง , ขณะบิน จะเห็นว่าเป็นนก ปีกกว้าง ปลายปีกมนกลม , ใต้ปีกมีลายแถบสีเข้ม 4 แถบ , หางมีลายแถบกว้าง 3 แถบ ปลายหางมีแถบเล็กๆ 4 แถบ ,
นกตัวเมีย ขนาดตัวใหญ่กว่านกตัวผู้ , กระหม่อมมีแต้มสีน้ำตาลเข้มกว่านกตัวผู้ , อก มีลายขีดตามแนวตั้งสีน้ำตาลเข้มกว่านกตัวผู้ , ท้อง มีลายขีด ตามแนวขวางลำตัว , หัวจะออกเป็นสีน้ำตาลมากกว่า
นกที่ยังไม่เต็มวัย สีคล้ายนกที่โตเต็มวัย , ด้านข้างหัวและลำตัวด้านบน สีน้ำตาลเข้มกว่านกที่เต็มวัย , กระหม่อมและท้ายทอยมีแต้มสีส้มอมแดง ปนสีขาวขุ่น , ลำตัวด้านล่างมีแต้มสีขาวขุ่น มีลายขีดสีน้ำตาลกระจายทั่วไป และ ขีดที่ด้านล่างของลำตัวจะน้อยลงและ เลือนหายไป , ตา สีเหลือง , สีข้าง และ ขนคลุมโคนขา มีลายขีดเล็กน้อย
นิสัยประจำชนิด ส่วนใหญ่พบอยู่โดดเดี่ยว หรือเป็นคู่ ไม่ค่อยพบอยู่เป็นฝูง มักชอบเกาะตามกิ่งไม้ใหญ่ ทั้งกิ่งแห้งและกิ่งที่มีใบแน่นทึบ , บินเหนือ ระดับยอดไม้ด้วยการกระพือปีกอย่างรวดเร็ว สองสามครั้งสลับการร่อน บางครั้งร่อนเป็นวงกลม แต่บางครั้งก็ร่อนไปเรื่อยๆ
แหล่งอาศัยหากิน พบตามป่าเบญจพรรณ ป่าสน และ ป่าดงดิบ ตั้งแต่พื้นราบจนกระทั่งระดับความสูง 1,950 เมตร จากระดับน้ำทะเล ในคาบสมุทร มลายู พบได้ในระดับต่ำลงมาถึง 245 เมตร จากระดับน้ำทะเล
อาหาร ได้แก่ นก กระรอก กิ้งก่า แย้ และสัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดเล็ก หาอาหารด้วยการเกาะกิ่งไม้ หรือ บินร่อนกลางอากาศ คอยจ้องหาเหยื่อ เมื่อพบเหยื่อจะบินลงมาโฉบด้วยกรงเล็บ ที่แข็งแรง จากนั้นจะนำขึ้นไปฉีกกิน บนกิ่งไม้หรือนำไปที่รัง
ฤดูผสมพันธุ์ทำรังวางไข่ อยู่ในช่วงฤดูร้อน หรือ ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม ในภูมิภาคอื่น ทำรังระหว่างเดือน ธันวาคม ถึงเดือน กันยายน ทำรังบนต้นไม้ รังเป็นแบบง่ายๆ สร้างหยาบๆ โดยนำกิ่งไม้ ขนาดเล็กมาวางซ้อนกันตามง่ามไม้ ทำตรงกลางให้เป็นแอ่ง อาจมีใบไม้สดรองรับไข่ โดยทั่วไปรังมีเส้นผ่าศูนย์กลางขอบนอก 30 -35 ซม. แอ่งตรงกลางลึก 10 -15 ซม. และอยู่สูงจากพื้นดิน 12 - 45 เมตร
วางไข่ครอกละ 2 - 3 ฟอง เปลือกไข่สีฟ้าอ่อน หรือ ฟ้าอมขาว ขนาดเฉลี่ย 32.7 X 41.2 มม. นกทั้งสองเพศช่วยกันฟักไข่ตั้งแต่ออกไข่ฟองแรก ใช้เวลาฟักไข่ ประมาณ 21 - 23 วัน ลูกนกแรกเกิดมีขนอุยสีขาวปกคลุมทั่วตัว ทั้งด้านบนและด้านล่าง แต่ยังช่วยเหลือตนเองไม่ได้ โดยเฉพาะการหา อาหาร พ่อแม่ต้องช่วยกันหาอาหารมาป้อน ในระยะแรกพ่อแม่จะฉีกเหยื่อ ออกเป็นชิ้นๆ ป้อนใส่ปากลูกนก แต่เมื่อลูกโตพอประมาณแล้ว พ่อแม่จะนำเหยื่อ มาทิ้งไว้ที่รัง ให้ลูกนกฉีกเหยื่อกินเอง พ่อแม่จะดูแลลูกนก สอนบิน และ สอนการล่าเหยื่อให้ลูกๆ จนช่วยเหลือ ตนเองได้ ประมาณ 30 - 35 วัน หลังออกจากไข่ ลูกนกจะทิ้งรังไป
แหล่งแพร่กระจายพันธุ์ เป็นนกประจำถิ่น ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของ อินเดีย , เนปาล , ภูฎาน , ศรีลังกา , ภาคตะวันตกตอนใต้ และ ภาคใต้ของจีน , ไต้หวัน , หมู่เกาะซุนดาใหญ่ , ฟิลิปปินส์ , มีรายงานพบทางภาคตะวันออกของบังคลาเทศด้วย , สำหรับเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นนกประจำถิ่นที่พบได้บ่อย ถึง บ่อยมากของทุกประเทศในแถบนี้ พบได้ทั่วไปทุกภาคของของเมียนม่าห์ ( ยกเว้น ภาคตะวันตกเฉียงใต้ , และภาคกลางของไทย ) , เป็นนกหายากของสิงคโปร์
สำหรับประเทศไทย เป็นนกประจำถิ่น พบบ่อยและปริมาณปานกลางทั่วทุกภาค โดยเฉพาะทางภาคใต้ตอนใต้สุด พบ 1 ชนิดย่อย คือ A . t . indicus ชื่อชนิดย่อย ดัดแปลงมาจากชื่อสถานที่ที่พบ และจำแนกชนิดได้ครั้งแรก คือประเทศอินเดีย ชนิดย่อยที่พบในไทยนี้มีขนาดตัวเล็กว่าชนิดย่อย ที่เป็นชนิดอ้างอิงหลัก
แหล่งข้อมูล : " นกในเมืองไทย " โดย รศ. โอภาส ขอบเขตต์http://www.koratphotoclub.net/mambo/index.php?option=com_smf&Itemid=62&topic=8066.0