color=red]
น่าสนใจครับ เอามาให้อ่านกันอีก [/color]
ปกติแล้ว เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคในนกปากขอ จะอยู่ในกลุ่ม แกรมเนคกาทีฟ หรือ แกรมลบ เสียเป็นส่วนใหญ่ สำหรับยาที่ออกฤทธ์กับแบคฯ แกรมลบ มีอยู่หลายตัว แต่ที่คิดว่า เป็นตัวเลือกตัวแรก สำหรับนกปากขอ น่าจะเป็น เอนโรฟลอกซาซิน [ Enrofloxacin ] ครับ โดสของยา 15-35 มิลลิกรัม/น.น.นก เป็นกิโลกรัมคิดดังๆ..."การตอบปัญหาเรื่องนกป่วย เป็นเรื่องที่ค่อนข้างหมิ่นเหม่กับการล้ำเส้น ต่อผู้ที่ประกอบอาชีพสัตว์แพทย์ เป็นอย่างมาก แต่การที่ไม่ตอบ ก็ทำให้เกิดความสงสัยว่า นกที่ป่วยนั้นจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปอีกนานแค่ไหน "
คิดในใจ......" เมื่อมีคำถามเรื่องนกป่วย ถ้าจะตอบว่า.... พาไปหาหมอ... เป็นสิ่งที่สมควรหรือไม่ เรื่องไปหาหมอ ใครๆก็ทราบ แต่ถ้าทำได้ หรือ ได้ทำไปแล้ว ก็คงจะไม่มาตั้งคำถาม เมื่อมาตั้งคำถาม ก็แสดงว่า ไม่สามารถ หรือ คิดว่าจะไม่พานกไปหาหมอ จึงต้องการคำตอบ "
อาการสำรอกอาหารของนก
สาเหตุมีอยู่หลายอย่างครับ เอาไว้จะค้นตำรามาเล่ากันทีหลัง แต่ที่แน่ๆ หนึ่งในจำนวนนั้นคือ การที่มีเชื้อราในระบบทางเดินอาหาร ทำให้อาหารที่กินเข้าไปไม่ย่อย พบได้บ่อยมากในลูกนกที่แยกออกมาป้อน
ลักษณะของเชื้อรา จะเป็นจุด หรือ เป็นฝ้า สีขาว อยู่ภายในกระเพาะพัก หลอดอาหาร ภายในช่องปาก นกที่ป่วย จะมีลักษณะผอม ร่างกายขาดน้ำ ผิวหนังที่นิ้วจะเหี่ยว ผิวหนังตามลำตัวจะมีสีคล้ำ เมื่อร่างกายขาดน้ำ รวมทั้งอาหาร โอกาสที่จะมีโรคอื่นแทรกซ้อนได้ง่าย นก (โดยเฉพาะลูกป้อน)มักจะมีชีวิตอยู่รอดได้ไม่เกินสามวัน
วิธีการรักษา เชื้อราในช่องปากและกระเพาะอาหาร[Crop]
ให้ยา Nystatin (ชื่อวิทยาศาสตร์ ) ซึ่งได้แก่
Mycostatin(ชื่อการค้า) หรือ Tystatin(ชื่อการค้า) ขนาด0.3 ซีซี ต่อ น้ำหนักตัวนกหนึ่งกิโลกรัม วันละสามถึงสี่ครั้ง
ยาตัวนี้ จะออกฤทธิ์โดยการสัมผัสกับบริเวณที่เป็นเชื้อราโดยตรง จึงต้องหยดเข้าที่มุมปาก ปล่อยให้นกค่อยๆกลืนลงไป ไม่ควรใช้สายยางหยอดเข้าไปในกระเพาะ
ผมคิดว่า การให้ยา น่าจะให้ก่อนที่จะให้อาหาร(หรืออะไรอื่นๆ)ประมาณสิบนาที เพื่อว่า ยาจะได้มีโอกาสสัมผัสกับบริเวณที่เป็นเชื้อราได้สักพัก ก่อนที่จะถูกเจือจางโดยอาหารที่ป้อนเข้าไป
Nystatin เป็นยาที่ไม่ถูกดูดซึมภายในระบบทางเดินอาหาร นกกินเข้าไปเท่าไหร่ ก็ถ่ายออกมาเท่านั้น การให้ในปริมาณที่เกินไปบ้างนิดหน่อย จึงคิดว่า คงไม่มีผลเสียมากนัก ครับ
เป็นยาที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ใช้รักษาโรคเชื้อราในช่องปาก(สำหรับคน) ขวดเล็กๆ ขนาดบรรจุ 12 ซีซี ราคาประมาณๆ สี่สิบไปจนถึงแปดสิบ บาท เมื่อใช้กับนก ควรหาซื้อไซริ้งค์ขนาด 1 ซีซี มาด้วย และควรให้ยาติดต่อกันสักห้าวัน หรือ ประมาณหมดขวด สำหรับนกขนาดกลางๆ ครับ
ในช่วงที่เชื้อรายังไม่หาย ป้อนอะไรๆเข้าไป นกจะสำรอกออกมาหมด เพื่อเป็นการพยุงไม่ให้อาการทรุดหนักลงไปก่อนที่จะหาย(จากเชื้อรา) จึงควรให้น้ำและเกลือแร่ ดังนี้ครับ
ใช้สารละลาย Lactate Ringer's Solution (หาซื้อได้ตามร้านขายยาใหญ่ๆ) ผสมน้ำอุ่น ในอัตราส่วน 1:1 ป้อนให้นกกิน (โดยสายยาง) ครั้งละน้อยๆ วันละหลายครั้ง ป้อนไปอย่างน้อย 12 ชั่วโมง ก่อนที่จะเริ่มต้นด้วยอาหารที่เหลวมากๆ (1:4 - 5 ) ต่อไป
ที่กำหนดให้ใช้สายยาง เพื่อป้องกันการสำลักน้ำนะครับ
1:4-5 คือ อาหารหนึ่งส่วน :น้ำสี่-ห้าส่วน
Lactate Ringer's Solution หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Lactate Ringer's Injection จัดอยู่ในประเภทน้ำเกลือชนิดหนึ่ง อยู่ในขวดพลาสติก มีสองขนาดคือ 500 และ 1000 ซีซี ปกติแล้ว จะใช้กับผู้ป่วย(คนหรือสัตว์)ที่ได้รับการผ่าตัดและสูญเสียเลือดไปมาก
สำหรับนก นอกจากใช้เมื่อต้องรักษาเชื้อราในกระเพาะแล้ว ยังใช้ในกรณีที่ลูกนกมีอาการอาหารไม่ย่อย และ ลูกนกแรกเกิดที่ร่างกายสูญเสียน้ำมากด้วยครับ
วันนี้งานเยอะครับ มีโอกาสเปิดตำราได้แค่ไม่กี่หน้า เลยคงจะไม่มีอะไรมาเล่ามากนัก
หากอาหารที่นก
สำรอกออกมา[regurgitation] เป็นอาหารที่ยังไม่ได้ผ่านการย่อยเลย อาหารส่วนนั้นจะมาจากกระเพาะพัก[Crop]ครับ แต่ถ้ามีบางส่วนที่ผ่านการย่อยไปบ้างแล้ว จะเป็นการอาเจียร [Vomit] อาหารจะไหลออกมาจากกระเพาะส่วนต้น [proventiculus]
สำหรับเรื่องที่นกผอมมาก เท่าที่นึกออกในตอนนี้ ก็อาจมีสาเหตุมาจาก
1.โรคหวัดเรื้อรัง [ CRD : Chronic respiratory disease ] โรคนี้ บางนก บางครั้ง จะไม่เห็นว่ามีน้ำมูกออกมา แต่หากจับมาตรวจดูอย่างไกล้ชิด จะเห็นว่า ขอบ หรือ รู จมูกจะชื้นๆ และ อาจจะรูขยายใหญ่ขึ้นด้วย เนื้อเยื่อรอบๆสีจะเปลี่ยนไป
2.โรคคลาไมเดีย หรือ ไข้หวัดนกแก้ว โรคนี้นกจะค่อยๆผอมลงๆ แต่อาจสังเกตุ แยกได้ตรงที่มักมีอาการอื่นร่วมด้วย ได้แก่ เยื่อตาอักเสบ ทำให้ตาแฉะ ถ่ายเหลวเป็นสีเขียวซึ่งเป็นสีของน้ำดี(น้ำที่มาจากถุงน้ำดี) ช่วงท้องบวม(ตับโต) ฯลฯ
3.โรคแอสเปอร์จิโลซีส เกิดจากเชื้อราในระบบทางเดินหายใจ นกจะผอมได้มากเช่นเดียวกัน แยกจากโรคอื่นได้จากการที่มีเสียงร้องที่เปลี่ยนไป มีน้ำมูกใสๆ หรือ คราบน้ำมูกใสๆ รอบรูจมูก
4. พยาธิ์ นกจะผอมได้มากเช่นเดียวกัน ตรวจสอบได้โดยเอาขี้นกไปส่องกล้องครับ
5. ฯลฯ
ปัญหาเรื่องการเอานกไปหาหมอ มีมานานมากแล้ว และคงเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกนาน
หมอเกือบทั้งหมด ถนัดที่จะดูแลหมาและแมว ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของผู้คนส่วนใหญ่
หมอที่ชำนาญเรื่องนก ก็อยู่ห่างไกลจากผมเป็นพันกิโลเมตร
หมดปัญญาหอบหิ้วไปแล้วครับ และถ้าไปแล้ว เข้าไม่ถึงอีก ก็ไม่รู้ว่าจะไปทำไม
จึงเป็นที่มาของความพยายามช่วยเหลือตัวเอง และเล่าสู่กันฟังในหมู่เพื่อนพ้อง
หากการให้ยา รักษาสัตว์เลี้ยง โดยเจ้าของสัตว์นั้นๆ ถือเป็นความผิด ก็คงจะผิดกันทั้งบาง นะขอรับ
ที่มา
http://www.siamphoenix.com/2008/htdocs/modules/smartfaq/faq.php?faqid=2รูปการรักษาเหยี่ยวนหเขาใน รพ.สัตว์ในต่างประเทศ