ตัดมาจากกระทู้บอร์ด RCTHAI @ คุณ Darkness137
สวัสดีครับ ... ขอกล่าวถึงการให้อาหารซักนิดนึงสำหรับนกจำพวกนี้นะครับ
แม้ว่าตามธรรมาชาติของเหยี่ยวขาวนั้นจะกินหนูนาและนกขนาดเล็กเป็นอาหาร
แต่สำหรับการเลี้ยงนั้นเราสามารถให้นกกระทาทดแทนได้ครับ และต้องขอออก
ตัวก่อนว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ, สัตวแพทย์, หรือเป็นนักวิชาการทางด้านอาหาร
แต่อย่างใด โดยส่วนตัวแล้วประสบการณ์ของผมยังน้อยนิด เพียงแต่ปฏิบัติตาม
คำสอนที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากอาจารย์ของผมเท่านั้น หากข้อมูลต่อไปนี้ผิด
ไปจากหลักวิชาการอย่างไร ก็ขอให้อยู่ในวิจารณญาณของทุกท่านครับ
คุณ Darkness137
...........
นกเด็กในช่วงที่ขนยังขึ้นไม่เต็มนั้นต้องการแคลเซียมในปริมาณมาก เพื่อสร้าง
ขนและกระดูก หากขาดสารอาหารในช่วงนี้นกอาจไม่ตายในทันที แต่จะส่งผล
ชัดเจนเมื่อนกเริ่มโต เช่น เกิดอาการขาอ่อน, กระดูกอ่อน, หรือเส้นขนขาดเป็น
ช่วงๆ และบางตัวอาจตายในเวลาต่อมา
นกกระทามีข้อดีหลายประการเมื่อเทียบกับเนื้อประเภทนกด้วยกัน (สามารถ
ค้นหาเพิ่มเติมได้จาก google นะครับ) ที่สำคัญนกกระทามีครบทั้งพลังงาน
และแคลเซียมซึ่งเพียงพอสำหรับนกเด็ก โดยสามารถตัดเป็นชิ้นให้กินได้เกือบ
ทั้งตัว และอีกประการหนึ่ง คือ ... กระดูกของนกกระทานั้นค่อนข้างเปราะบาง
ทำให้การย่อยของนกเป็นไปได้โดยง่าย และกระดูกที่เปราะนี้จะไม่ทำอันตราย
ต่อกระเพาะพักของนกอีกด้วย (ทดสอบง่ายๆโดยเอามือหักกระดูกส่วนต่างๆ
จะพบว่าสามารถหักได้เกือบทั้งตัว) ต่างจากกระดูกไก่หรือคอไก่ ซึ่งมีกระดูก
ค่อนข้างแข็งและถึงแม้จะสับแล้วก็ตาม เศษกระดูกก็ยังมีความคมมากกว่ากระดูก
ของนกกระทา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกระเพาะพักของนกขนาดเล็ก เช่น เหยี่ยว
ขาว, เหยี่ยวนกเขา, เหยี่ยวแมงปอ, หรือ เหยี่ยวนกกระจอก เป็นต้น แต่หากไม่
สามารถหานกกระทาได้จริงๆ ก็สามารถให้ลูกเจี๊ยบที่เพิ่งฟักจากไข่อายุ 3-5 วัน
ทดแทนได้เช่นกัน สำหรับการเลี้ยงในกลุ่มนั้น มีการให้ทั้งนกกระทา, หนูนา, และ
ลูกเจี๊ยบแรกเกิดสลับๆกันไปครับ
ลูกนกต้องการอาหารในปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง อาจทุก 3-4 ชม. โดยสังเกตที่
กระเพาะพักอาหารบริเวณหน้าอก เมื่ออาหารหมดก็ควรทำการป้อนทุกครั้ง แต่ใน
ปริมาณที่น้อย เพราะหากป้อนในปริมาณมากแล้วนกย่อยไม่ทัน จะเกิดเหตการณ์
อาหารเน่าในกระเพาะและจะมีปัญหาตามมาภายหลังซึ่งอาจถึงตายได้ ส่วนเนื้อหมู
และเนื้อวัวไม่ควรให้ เพราะมีสารอาหารไม่ครบตามที่นกต้องการ อีกทั้งยังย่อยยาก
โดยเฉพาะในลูกนก แต่ถ้าหากเป็นนกโตและอาหารหมดตู้เย็นจริงๆจำเป็นต้องให้
ก็สามารถให้เนื้อหมูได้ แต่ต้องเป็นปริมาณน้อยเพียงเพื่อรองท้องเท่านั้น
...........
ปัจจัยทางการเงินอีกเรื่องที่ตามมา คือ ค่าอาหาร
- นกกระทา 90-120 บาท / กก.
- หนูนา 80-90 บาท / กก.
- ลูกเจี๊ยบ 100 บาท / กก.
นกของผมกินอาหารเฉลี่ยช่วงฝึกและช่วงผลัดขนอาทิตย์ละ 1.6 กก. เฉลี่ยแล้วค่า
อาหารประมาณ 7000-7500 บาทต่อปีต่อนก 1 ตัว ยังไม่รวมไข่ไก่, น้ำมันตับปลา,
และแคลเซียมผง อย่างบางคนมีนก 3 ตัว ค่าอาหารก็ตกอยู่ราวๆ 20000 บาทต่อปี
อาจารย์ผมมีนก 10 ตัว ก็คูณโดยประมาณกันดูนะครับ (แต่ถ้าเหยี่ยวเล็กก็ถูกหน่อย
ลดหย่อนกันตามน้ำหนักตัวครับ) ...
สำหรับท่านที่เลี้ยงนกประเภทนี้ ต้องถามตัวเองก่อนว่ายอมรับในรายละเอียดของ
การเตรียมอาหารเหล่านี้ได้หรือไม่ เลี้ยงนกไม่ยากแต่เลี้ยงให้มีความสมบูรณ์ของ
ร่างกายนี่แหละคือความลำบากของการเลี้ยงนกครับ เนื่องจากสิ่งสำคัญที่สุดมาก
กว่าการฝึกนกก็คือ ... นกต้องมีชีวิตรอด และมีร่างกายที่สมบูรณ์ ...
นกประเภทนี้มีอายุอยู่กับเราไปนานนับ 10 ปี (หรือมุมกลับก็คือนกจะเป็นภาระให้
เราไปนานนับ 10 ปี) และหากคิดจะปล่อยกลับสู่ป่าแต่นกไม่ได้รับการฝึกล่าเพื่อ
หาอาหาร นกเหล่านี้ก็ไม่สามารถมีชีวิตรอดตามธรรมชาติได้ ดังนั้นที่กล่าวมาจึง
เป็นปัจจัยเบื้องต้นและยังมีอีกหลายปัจจัยในการตัดสินใจเลี้ยงนกประเภทนี้นะครับ
นกอายุ 2 เดือน สามารถฉีกกินเองได้แล้วครับ แต่ให้สังเกตว่านกกินกระดูก
เข้าไปด้วยหรือไม่ เพราะนกเลี้ยงบางตัวมีนิสัยกินง่ายเข้าว่า (เลือกกินนั่นเอง)
จะเลือกกินแต่ที่เป็นเนื้อ ส่วนกระดูกจะสะบัดทิ้งไม่ค่อยกิน ถ้านกมีนิสัยเลือกกิน
ให้เอาหนูมาทุบด้วยสันมีดให้กระดูกแตก เวลานกฉีกกินกระดูกก็จะติดเนื้อไป
ด้วยนั่นเอง ... เรื่องปริมาณการกินต่อวันขึ้นอยู่กับนกแต่ล่ะตัวครับ อันนี้ตอบ
ยาก เพราะนกในกลุ่มก็กินไม่เท่ากันเอาเป็นว่าให้กินจนกว่าจะหยุดกินนั่นล่ะครับ
ส่วนอาหารตามตลาดก็ให้กินได้แต่จะสะอาดหรือเปล่าอันนี้ตอบยาก คงต้องคุยกับ
พ่อค้าแม่ค้าบ่อยๆ สนิทเมื่อไหร่ก็น่าจะได้อาหารที่สดสะอาดมากขึ้นครับ เดี๋ยวนี้ที่
เจอในตลาด มีการแช่ฟอร์มาลีนทำให้สังเกตความสดจากสีค่อนข้างยาก ซึ่งนก
ขนาดเล็กต้องการอาหารที่สะอาดมากๆ เพราะขนาดเล็กก็จะมีภูมิต้านทานน้อยตาม
ขนาดตัวไปด้วย ไม่เหมือนนกขนาดใหญ่ที่มีภูมิต้านทานสูงกว่า
ผมไม่ใช่แพทย์หรือสัตวแพทย์ เพียงแต่ความรู้พื้นฐานทั่วๆไปก่อนจะใช้ยา
ทุกชนิดไม่ว่าคนหรือสัตว์ สิ่งที่ควรรู้และจำเป็นจะต้องรู้ คือ
- 1. อาการป่วยจริงๆแล้วเป็นอย่างไร
- 2. อาการผิดปกติจริงๆแล้วเป็นโรคชนิดไหน
- 3. การให้ยาเพื่อรักษามีขนาดและปริมาณพอเหมาะหรือไม่
- 4. ระยะเวลาการให้ยาในแต่ละครั้งใช้เวลานานเท่าไหร่
ตัวอย่างเช่น ... นกมีอาการหายใจทางปากบ่อยมากหรือเกือบตลอดเวลา เวลา
ร้องเสียงจะขาดหาย,นกมีน้ำตาไหล,ตาแฉะ ... อาการเหล่านี้อาจจะไม่ใช่อาการ
ผิดปกติของทางเดินหายใจหรือหลอดลมเสมอไป เนื่องจากนกของผมเคยเป็นอาการ
เหล่านี้ติดต่อกันนาน 3-4 วัน แต่เกิดจากการถูกตัวต่อต่อยบริเวณท้ายทอย และนกมี
อาการแพ้พิษของตัวต่อนั่นเอง ฉะนั้นการรักษาจึงต้องรักษาให้ตรงจุดครับ
ตัวอย่างเช่น ... การถ่ายพยาธิ ก็ไม่ควรถ่ายจนเกินความจำเป็น นกเป็นสัตว์ที่ต้องการ
พยาธิดีเพื่อรักษาสมดุลหลายๆอย่างในร่างกาย แต่ถ้ามีการให้ยาเพื่อขับพยาธิมากหรือ
เข้มข้นมากจนเกินไป พยาธิดีถูกขับออกจนเหลือน้อยส่งผลให้สมดุลต่างๆในลำไส้สูญเสีย
ไปด้วยเช่นกัน
ยาทุกตัวและวิตามินทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสียของตัวเอง หากได้รับมากเกินไป
หรือน้อยเกินไปย่อยมีผลทั้งสิ้นครับ ทางที่ดีถ้ารักและเป็นห่วงนกของท่านจริงๆ
พาไปโรงพยาบาลสัตว์พิเศษดีกว่าครับ
พวกผมเองก็ไม่ได้รักษานกด้วยตัวเองเสมอไป หากแต่มีอาจารย์คอยแนะนำรวมทั้งมี
สัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษา ฉะนั้นโดยส่วนตัวแล้วผมไม่แนะนำให้ผู้เริ่มต้น
ทำการรักษาด้วยตัวเองครับ